1. แบบจำลองของไทเลอร์
ไทเลอร์ (Tyler) มีแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผู้เรียนในการกำหนดความมุ่งหมายของหลัก
สูตร และใช้ในสังคมปัจจุบันเป็นพื้นฐาน โดยพิจารณาจากกฎเกณฑ์ของสังคมความต้องการทางด้านความสงบสุข กฎเกณฑ์และกฎหมาย ระเบียบแบบแผน
รูปแบบและความประพฤติของแต่ละครอบครัว
การแต่งกาย ความประพฤติและการพูดจา ไทเลอร์ได้กระตุ้นให้คิดถึงบทบาทของนักพัฒนาหลักสูตรในการใช้สิ่งดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน ในเรื่องการประเมินผล ไทเลอร์ชี้ให้เห็นว่าจะต้องสอดคล้องกับความมุ่งหมายที่กำหนดไว้ ปรัชญาการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ คือ การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน และครูจะกำหนดจุดประสงค์อย่างไรให้สนองความต้องการของบุคคล ไทเลอร์ได้กล่าวว่า
การพัฒนาหลักสูตรเป็นความจำเป็นที่จะต้องกระทำอย่างมีเหตุผลและอย่างมีระบบ
โดยได้พยายามที่จะอธิบาย “…..เหตุผลในการมอง การวิเคราะห์และการตีความหลักสูตร
และโปรแกรมการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา”
ต่อจากนั้นยังได้โต้แย้งอีกด้วยว่าในการพัฒนาหลักสูตรใด ๆ จะต้องตอบคำถาม 4 ประการคือ
1.
ความมุ่งหมายอะไรทางการศึกษาที่โรงเรียนควรจะแสวงหาเพื่อที่จะบรรลุความมุ่งหมายนั้น
2.
ประสบการณ์ทางการศึกษาคืออะไรที่จะสามารถจัดเตรียมไว้เพื่อให้บรรลุผลตาม
ความมุ่งหมายเหล่านั้น (กลยุทธ์การเรียนการสอนและเนื้อหาวิชา : Instructional
strategies and content)
3. ประสบการทางการศึกษาเหล่นี้จะจัดให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
(การจัดประสบการณ์เรียนรู้: Organizing learning experiences)
4. เราจะสามารถตัดสินได้อย่างไร
ว่าความมุ่งหมายเหล่านั้นได้บรรลุผลแล้ว (การประเมินสถานการณ์และการประเมินผล: Assessment
and evaluation)
ไทเลอร์ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาของการเคลื่อนไหวทางหลักสูตร แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ เป็นที่รู้จักกันดี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 โดยไทเลอร์ได้เขียนหนังสือชื่อ Basic
Principles of Curriculum and nstruction และได้พิมพ์ซ้ำซากถึง 32 ครั้ง
โดยในครั้งล่าสุดพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1974 ไทเลอร์ได้แสวงหาวิธีการที่จำเพาะของนิสัยของผู้พัฒนาหลักสูตรให้มีเหตุผล
มีระบบและวิธีการให้ความหมายให้มากขึ้นเกี่ยวกับภาระงาน ปัจจุบันนักเขียนทางหลักสูตรจำนวนมากให้ความสนใจน้อยลง เพราะธรรมชาติที่ไม่ยืดหยุ่นในแบบจำลองจุดประสงค์ของไทเลอร์ อย่างไรก็ตามบางเวลางานของไทเลอร์ ได้รับการตีความผิดๆ ให้ความสนใจน้อยและบางครั้งเพิกเฉยที่จะให้ความสนใจ เช่น บราดี้ (Brady) อ้างถึงคำถามสี่ประการข้างต้น และแนะนำว่าขั้นตอนทั้งสี่บางครั้งจำทำให้ดูง่ายขึ้นถ้าอ่านว่า
จุดประสงค์ เนื้อหา วิธีการ
และการประเมินผล
ไทเลอร์ได้เน้นถึงประสบการณ์ในการเรียนรู้ในคำถามข้อที่สองคือ “….ปฏิกิริยาระหว่างผู้เรียนและสถานการณ์ในสิ่งแวดล้อมภายนอกซึ่งสามารถ
กระทำได้” เช่นเดียวกัน ผู้เขียนตำราบางคนได้แย้งว่า ไทเลอร์ไม่ได้อธิบายแหล่งที่มาของจุดประสงค์อย่างเพียงพอ
ไทเลอร์ได้อุทิศครึ่งหนึ่งของหนังสือที่เขียนให้กับเรื่องจุดประสงค์โดยได้
พรรณนาและวิเคราะห์แหล่งที่มาของจุดประสงค์จากผู้เรียน
การศึกษาชีวิตในปัจจุบันการศึกษาวิชาต่างๆ จากสถานศึกษา ศึกษาปรัชญาและจิตวิทยาการเรียนรู้อันที่จริงแล้วไทเลอร์ เป็นผู้มีเหตุผลอย่างสำคัญยิ่งต่อผู้พัฒนาหลักสูตรและผู้เขียนวรรณกรรมทาง
ด้านนี้ เมื่อ 30 ปีที่แล้วแบบจำลองกระบวนการหลักสูตรของไทเลอร์ดังภาพประกอบ 13 ซึ่งเป็นไดอาแกรมการแนะนำ โดยที่ไทเลอร์เห็นว่าภาระงานของการพัฒนาหลักสูตรเป็นการแก้ปัญหาที่มีเหตุผล
และมีขั้นตอนตามคำถามสี่ข้อที่กล่าวแล้ว เมื่อมีการกำหนดจุดประสงค์ ก็จะสามารถเลือกประสบการณ์เรียนรู้ที่เหมาะสมที่ต้องการ การจัดการที่มีประสิทธิภาพ ขั้นสุดท้ายของกระบวนการของไทเลอร์
คือ
การตัดสินว่ามีความสำเร็จตามจุดประสงค์หรือไม่
จุดประสงค์
ความมุ่งหมายอะไรทางการศึกษาที่โรงเรียนควรจะแสวงหา
เพื่อที่จะบรรลุผลความมุ่งหมายนั้น
การเลือก
ประสบการณ์เรียนรู้อะไรทางการศึกษาที่จะสามารถจัด
ประสบการณ์เรียนรู้
เตรียมเพื่อให้บรรลุตามความมุ่งหายนั้น
การจัดประสบการณ์เรียนรู้ จะจัดประสบการณ์การเรียนรู้เหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
|
การประเมินผล
เราสามารถตัดสินอย่างไรว่า
ความมุ่งหมายเหล่านี้ได้บรรลุผลแล้วหรือไม่
ภาพประกอบ 13 กระบวนการหลักสูตรของไทเลอร์
ไทเลอร์กล่าวว่าเป็นความจำเป็นที่ต้องนิยามความมุ่งหมาย (จุดประสงค์)
ให้กระจ่างเมื่อมีการพัฒนาหลักสูตร
การกำหนดจุดประสงค์ต้องการความคิดที่รอบคอบและพิจารณาแรงขับหลากหลายที่มี
อิทธิพลต่อผู้เรียน เช่น สังคม
รายวิชา ปรัชญา และอื่นๆ
ในเวลาเดียวกันจุดประสงค์จะลายเป็นพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพในการเลือก
ประสบการณ์ที่เหมาะสมตลอดจนการประเมินผลแต่ละขั้นตอนจะเป็นไปอย่างมีเหตุผล ขั้นตอนทุกขั้นขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ที่ได้กำหนดไว้อย่างระมัดระวัง ในขั้นของการประเมินผลก็ใช้จุดประสงค์เป็นฐานสำหรับเทคนิคการประเมินที่
เหมาะสมที่จะชี้ว่าได้รับความสำเร็จตามจุดประสงค์อย่างกว้างขวางเพียงใด
แบบจำลองของไทเลอร์ ให้ความสนใจกับระยะของการวางแผน และจากเหตุผลข้างต้น ทำให้นักการศึกษาทั่วไปเรียกแบบจำลองของไทเลอร์ว่า “แบบจำลองเชิงเหตุผล (The Tyler
rationale model)
ซึ่งเป็นกระบวนกานในการเลือกจุดประสงค์ทางการศึกษาที่เป็นที่รู้จักและถือ
ปฏิบัติในแวดวงของหลักสูตร
และไทเลอร์ได้เสนอแบบจำลองสำหรับการพัฒนาหลักสูตรที่ค่อนข้างจะเป็นที่เข้า
ใจในส่วนแรกของแบบจำลอง (การเลือกจุดประสงค์) ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักการศึกษาอื่นๆ
ไทเลอร์ได้แนะนำให้ผู้พัฒนาหลักสูตรระบุจุดประสงค์ทั่วไปโดยรวบรวมข้อมูลจากสามแหล่งคือ
ผู้เรียน (learners) ชีวิตภายนอกโรงเรียนในช่วงเวลานั้น (contemparry life
outside the school) และเนื้อหาวิชา
(subject matter)
ภายหลังจากที่ได้ระบุจุดประสงค์ทั่วไปแล้ว
ผู้วางแผนหลักสูตรก็กลั่นกรองจุดประสงค์เหล่านั้นผ่านเครื่องกรองสองชนิด คือ
ชนิดแรกเป็นปรัชญาการศึกษาและปรัชญาทางสังคมของโรงเรียน ชนิดหลังเป็นจิตวิทยาการเรียนรู้
จุดประสงค์ทั่วไปที่ประสบความสำเร็จด้วยการผ่านการกลั่นกรองจากเครื่องกรอง
ทั้งสองชนิดจะกลายเป็นจุดประสงค์การเรียนการสอนที่มีความหมายเฉพาะเจาะจง ขึ้น
ในการพรรณนาจุดประสงค์ทั่วไป
ไทเลอร์จะอ้างถึง “เป้าประสงค์ (goal)” “จุดประสงค์ทางการศึกษา (educational
objectives)” และ “ความมุ่งหมายทางการศึกษา
(educational purposes)”
แหล่งข้อมูลนักเรียน (Student as source) ผู้ปฏิบัติงานหลักสูตรเริ่มต้นเสาะหาจุดประสงค์ทางการศึกษาโดยรวบรวมและ
วิเคราะห์ข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นและความสนใจของนักเรียน ความต้องการจำเป็นกว้างๆ โดยส่วนรวมได้แก่ ความต้องการจำเป็นด้านการศึกษา สังคม อาชีพ ร่างกาย
จิตใจ และนันทนาการ จะได้รับการหยิบยกขึ้นมาศึกษา ไทเลอร์เสนอแนะให้ครูเป็นผู้สังเกต สัมภาษณ์นักเรียน สัมภาษณ์บิดามารดา
ออกแบบสอบถาม
และใช้การทดสอบเป็นเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียน โดยการตรวจสอบความต้องการจำเป็นและความสนใจของนักเรียน นักพัฒนาหลักสูตรต้องระบุชุดของจุดประสงค์ที่มีศักยภาพ
แหล่งข้อมูลทางสังคม (Society as source)
การวิเคราะห์ชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันของทั้งชุมชนในท้องถิ่นและสังคม ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นตอนต่อไปในกระบวนการของของการกำหนดจุดประสงค์ทั่วไป ไทเลอร์แนะนำว่าผู้วางแผนหลักสูตรควรพัฒนาแผนการจำแนกแบ่งชีวิตออกมาใน
หลายๆ ลักษณะ เช่น
ด้าน สุขภาพ ครอบครัว นันทนาการ อาชีพ ศาสนา
การบริโภค และบทบาทหน้าที่พลเมือง จากความต้องการของสังคมทำให้เราได้จุดประสงค์เกี่ยวกับความต้องการจำเป็นของ
สถาบันทางสังคม หลังจากที่ได้พิจารณาแหล่งข้อมูลที่สองแล้ว ผู้ปฏิบัติหลักสูตร (Curriculum worker)
สามารถที่จะขยายหรือเพิ่มเติมจุดประสงค์ได้
แหล่งข้อมูลด้านเนื้อหาวิชา (Sujiect matter as source) สำหรับข้อมูลที่สามนักวางแผนหลักสูตรต้องหันกลับไปพิจารณาเนื้อหาวิชา
สาขาวิชาของตัวเอง นวัตกรรมหลักสูตรจำนวนมาก ในปี ค.ศ.1950-คณิตศาสตร์
แผนใหม่ โปรแกรมวิทยาศาสตร์ ได้มาจากผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาวิชา
จากข้อมูลสามแหล่งที่กล่าวถึงนี้ผู้พัฒนาหลักสูตรก็จะได้จุดประสงค์ทั่วไป หรือจุดประสงค์กว้างๆ ซึ่งขาดความชัดเจน
ซึ่งโอลิวา (Oliva) มีความชอบมากที่เรียกว่าเป้าประสงค์ของการเรียนการสอน (instructional
goals) เป้าประสงค์เหล่านี้อาจตรงกับสาชาวิชาที่เฉพาะเจาะจง
จอห์นสัน (Johnsan) มองสิ่งเหล่านี้ด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ จอห์นสันได้แนะนำว่า “แหล่งที่เป็นไปได้ (ของหลักสูตร) คือวัฒนธรรมทั้งหมดที่มีอยู่เป็นส่วนรวม” และมีแต่เพียงเนื้อหาสาระที่เรียบเรียงไว้อย่างดี นั่นคือ
สาขาวิชาเหล่านั้นที่จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นแหล่งข้อมูลของหลักสูตรไม่
ใช่ความต้องการจำเป็นและความสนใจของผู้เรียนหรือค่านิยมและปัญหาสังคม
เมื่อมีการกำหนดจุดประสงค์ที่พิจารณาว่าความเป็นไปได้ที่จะนำไปใช้แล้ว
จำเป็นต้องมีกระบวนการกลั่นกรองอีกขั้นหนึ่งตามแบบจำลองของไทเลอร์ เพื่อที่จะขจัดจุดประสงค์ที่ไม่มีความสำคัญและขัดแย้งกันออกไปโดยแนะนำให้
ใช้ปรัชญาการศึกษาของโรงเรียนเป็นตะแกรงแรกสำหรับกลั่นกรองเป้าประสงค์
ปรัชญา (Philosophical screen) เหล่านี้
ไทเลอร์แนะนำครูของแต่ละโรงเรียนให้กำหนดปรัชญาการศึกษาและปรัชญาสังคมขึ้น มา โดยผลักดันให้ครูวางเค้าโครงค่านิยมและภาระงานนี้ออกมาด้วยการเน้นเป้า
ประสงค์สี่ประการคือ
1.
การยอมรับความสำคัญของบุคคลในฐานะทางชาติพันธุ์วรรณาเชื้อชาติสังคมหรือเศรษฐกิจ
2. โอกาสสำหรับการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในธุรกิจระยะของกิจกรรมในกลุ่มสังคมและในสังคม
3.
การส่งเสริมให้มีบุคลิกภาพที่หลากหลายค่อนข้างจะมากกว่าที่ส่งเสริมให้มีบุคลิกภาพที่เป็นแบบเดียวกันทั้งหมด
4. ความศรัทธาในเชาวน์ปัญญาว่าเป็นเสมือนวิธีการในการแก้ปัญหาสำคัญๆ
ค่อนข้างจะมีมากกว่าการขึ้นอยู่กับอำนาจของกลุ่มประชาธิปไตยหรือกลุ่มเจ้า
ขุนมูลนาย
ในคำอภิปรายเกี่ยวกับการกำหนดปรัชญาสังคม
ไทเลอร์พยายามที่จะทำให้โรงเรียนเป็นบุคคลโดยกล่าวว่า
ปรัชญาการศึกษาและปรัชญาสังคมเป็นข้อผูกพันและต้องการกระทำตาม เมื่อโรงเรียนยอมรับค่านิยมเหล่านี้
หลายโรงเรียนมักจะกล่าวว่า และ
ถ้าโรงเรียนเชื่อ
ดังนั้นไทเลอร์จึงทำให้โรงเรียนมีลักษณะเป็นพลวัตและมีชีวิต (dynamic
living entity) ผู้ทำงานเกี่ยวกับหลักสูตร (curriculum
worker) จะทบทวนรายการของจุดประสงค์ทั่วไปและไม่ให้ความสนใจกับจุดประสงค์ที่ไม่สอดคล้องกับปรัชญาที่ได้ตกลงกันไว้กับคณะทำงาน
จิตวิทยา (Psychological screen)
การประยุกต์ใช้จิตวิทยา เป็นขั้นตอนต่อไปของแบบจำลองของไทเลอร์ ในการใช้นี้ ครูต้องทำความกระจ่างกับหลักการเรียนรู้
ซึ่งเชื่อว่าดี ไทเลอร์กล่าวว่าจิตวิทยาการเรียนรู้ไม่เพียงแต่จะรวมถึงข้อค้นพบที่ชี้เฉพาะ
และแน่นอนเท่านั้นแต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างทฤษฎีการเรียนรู้ที่ช่วยในการ
กำหนดเค้าโครง (outline)
ธรรมชาติของกระบวนการเรียนรู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรภายใต้เงื่อนไขอะไร
ใช้กลไกอะไรในการปฏิบัติงาน และอื่นๆ
ในลักษณะที่คล้ายคลึงกันการประยุกต์ใช้นี้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมี
การฝึกหัดอย่างเพียงพอในด้านจิตวิทยาการศึกษาความเจริญเติบโตและพัฒนาการของ มนุษย์
โดยผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภาระงานของการพัฒนาหลักสูตรจะเป็นผู้ดำเนินการ
ฝึกให้ไทเลอร์ได้อธิบายความสำคัญของจิตวิทยาดังนี้
1.
ความรู้ทางจิตวิทยาการเรียนรู้สามารถทำให้เราแยกความต่างของการเปลี่ยนแปลง
ของมนุษย์ที่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่คาดหวังผลออกจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่
ได้เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่คาดหวัง
2. ความรู้ในจิตวิทยาการเรียนรู้สามารถทำให้เราแยกความต่างในเป้าประสงค์ที่มี
ความเป็นไปได้ออกจากเป้าประสงค์ที่ต้องการใช้เวลานานหรือเกือบจะเป็นไปไม่
ได้ที่จะบรรลุผลสำเร็จในระดับอายุที่มีการตรวจสอบและรับรองแล้ว
3. จิตวิทยาการเรียนรู้ให้ความคิดบางอย่างแก่เรา เกี่ยวกับระยะเวลาที่ใช้ในการบรรลุจุดประสงค์และระดับอายุที่ต้องใช้ความ
พยายามให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
หลังจากผู้วางแผนหลักสูตรได้ประยุกต์ใช้ที่สองแล้วก็จะมีการลดรายการวัตถุ
ประสงค์ทั่วไปลงปล่อยให้เหลือไว้เฉพาะจุดประสงค์ที่มีความสำคัญที่สุดและมี
ความเป็นไปได้มากที่สุด
หลังจากนั้นต้องระมัดระวังในการที่จะกล่าวจุดประสงค์ออกมาในรูปของจุด
ประสงค์พฤติกรรม
ซึ่งจะกลายมาเป็นจุดประสงค์ของการเรียนการสอนในชั้นเรียนไทเลอร์ไม่ได้ใช้
ไดอาแกรมในการพัฒนากระบวนการที่ได้เสนอแนะไว้ อย่างไรก็ตามโพแฟมและเบเกอร์
(Popham and Baker) ได้อธิบายแบบจำลองของไทเลอร์
มีเหตุผลหลายประการที่รออภิปรายเกี่ยวกับแบบจำลองไทเลอร์มักจะหยุดอยู่ที่
การตรวจสอบส่วนแรกของแบบจำลอง-เหตุผลในการเลือกจุดประสงค์ทางการศึกษาโดย
ความเป็นจริงแล้วแบบจำลองไทเลอร์ยังมีขั้นตอนที่พรรณนาออกไปอีกสามขั้นตอนใน การพัฒนาหลักสูตร
คือการเลือก การจัด
และการประเมินประสบการณ์การเรียนรู้โดยที่ไทเลอร์ได้นิยามประสบการณ์การ
เรียนรู้ว่าเป็น
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและเงื่อนไขภายนอกในสิ่งแวดล้อมที่ผู้เรียน
สามารถสนองตอบได้ ไทเลอร์ได้แนะนำครูให้สนใจกับประสบการณ์การเรียนรู้ซึ่ง 1. จะพัฒนาทักษะในการคิด 2.
จะช่วยให้ได้มาซึ่งข่าวสารข้อมูลตามที่ต้องการ 3.
จะช่วยในการพัฒนาเจตคติทางด้านสังคมและ 4.
จะช่วยพัฒนาความสนใจ
ไทเลอร์ได้อธิบายถึงการจัดประสบการณ์ให้เป็นหลายๆ หน่วย
และพรรณนาวิธีการประเมินผลต่างๆ อย่างหลากหลาย และแม้ว่าไทเลอร์จะไม่ได้บอกถึงทิศทางของประสบการณ์การเรียนรู้
(หรือการใช้วิธีการเรียนรู้การสอน)
แต่เราก็สามารถอ้างได้ว่าการเรียนการสอนต้องเกิดขึ้นในระหว่างการเลือกและ
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนจาก
ประสบการณ์เหล่านี้
แบบจำลองที่ขยายแล้ว (Expanded model)
อย่างไรก็ตามเราสามารถปรับปรุงไดอาแกรมแบบจำลองของไทเลอร์โดยขยายออกไปให้ ครอบคลุม
ขั้นตอนต่างๆ
ในกระบวนการวางแผนหลังจากที่ได้กำหนดจุดประสงค์การเรียนการสอนเฉพาะแล้ว
นั่นคือเพิ่มขั้นตอนของการเลือกประสบการณ์การเรียนรู้การจัดประสบการณ์การ เรียนรู้
ทิศทางของประสบการณ์การเรียนรู้
และการประเมินประสบการณ์การเรียนรู้เข้าไปดังภาพประกอบ 15 แบบจำลองที่ขยายแล้ว
ในการอภิปรายเกี่ยวกับเหตุผลของไทเลอร์ และแทนเนอร์ (Tanne
and tanner) ชี้ว่า องค์ประกอบหลักในเหตุผลของไทเลอร์มาจากการศึกษาพิพัฒนาการนิยมในระหว่างต้นทศวรรษของ
ศรวรรษที่ 21 สิ่ง
หนึ่งที่เป็นสิ่งที่ยากในเหตุผลของไทเลอร์ตามทัศนะของแทนเนอร์ทั้งสอง คือ
ไทเลอร์นำเสนอแหล่งข้อมูลทั้งสามโดยแยกออกจากกันไม่แสดงถึงปฏิสัมพันธ์ ระหว่างกัน
ถ้านักวางแผนหลักสูตรพิจารณาว่าส่วนประกอบทั้งสามต้องแยกออกจากกัน
และไม่เข้าใจถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของแหล่งทั้งสามการพัฒนาหลักสูตรก็จะ
กลายเป็นกระบวนการที่เน้นเชิงกลไกมากจนเกินอย่างไรก็ตามแทนเนอร์ทั้งสองได้
บันทึกไว้ว่าจนถึงวันนี้ แบบของไทเลอร์ได้รับการอภิปลายอย่างกว้างขวางจากนักวิชาการหลักสูตรและเป็น
จุดศูนย์รวม (focus) ในสาขาของทฤษฎีหลักสูตรด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น